Esoteric healing
หัวข้อเรื่องการเยียวยานั้นเก่าแก่พอ ๆ กับประวัติศาสตร์มนุษย์ และแม้จะมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แต่ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพลังแห่งการรักษายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ปัจจุบันมนุษย์เริ่มเข้าใจว่าความเจ็บป่วยเริ่มต้นจากร่างกายภายในทั้ง 3 ซึ่งส่งผลต่อร่างกายภายนอกอย่างลึกซึ้ง และนำไปสู่ความทุกข์ทรมานและความตาย วิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยายุคใหม่จึงกลายเป็นกุญแจสู่การเยียวยาที่แท้จริง การรักษาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคนิคหรือสูตรยา แต่เป็นการเปิดใจสู่ความรู้เร้นลับ (esoteric knowledge) ในระดับจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งการรักษานี้ยังเต็มไปด้วยทฤษฎี, ข้อมูล, ความเชื่อ และสูตรมากมายที่ทั้งถูกและผิด ซึ่งอาจขวางกั้นความเข้าใจใหม่ ๆ ได้ นักเรียนจึงต้องมีความอดทนและเปิดใจเพื่อเข้าถึงความรู้นี้อย่างแท้จริง
ผู้แสวงหา (Aspirants) จะสูญเสียมาก หากยังยึดติดกับสิ่งที่จิตใจระดับต่ำหวงแหน เมื่อเปิดใจยอมรับทฤษฎีใหม่ ๆ พวกเขาจะค้นพบว่า ความจริงดั้งเดิมไม่ได้สูญหายไป แต่กลับเข้าที่เข้าทางในแผนการที่ใหญ่กว่า Initiates ทุกคน ใน the Ageless Wisdom ล้วนเป็น healers แม้อาจไม่ได้รักษาทางกาย เพราะดวงจิตที่หลุดพ้นจะถ่ายทอดพลังงานแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งส่งผลต่อกลไกของผู้อื่นโดยอัตโนมัติ
คำว่า “กลไก” หมายถึงเครื่องมือที่ดวงจิตใช้เพื่อแสดงออกในโลก ได้แก่:
-
ร่างกายหยาบ – คือการรวมตัวของอวัยวะทั้งหมดที่ทำให้ดวงจิตแสดงตนในโลก เป็นกลไกตอบสนองของ spiritual man และเชื่อมโยงกับกลไกของ the planetary Logos
-
ร่างกายพลังงาน (etheric body) – ทำหน้าที่ให้พลังงานแก่ร่างกายหยาบ เป็นโครงข่ายพลังงานที่เชื่อมโยงกับระบบพลังงานของโลกและจักรวาล พลังงานจักรวาลไหลเวียนเหมือนเลือดผ่านเส้นเลือด เป็นพื้นฐานของชีวิตทั้งหมด และแสดงถึงการไม่แบ่งแยกระหว่างสิ่งมีชีวิต
-
ร่างกายอารมณ์ (astral body) – เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของความปรารถนาและการตอบสนองทางความรู้สึก ทำให้เกิดอารมณ์เจ็บปวด, สุข, ทุกข์ และคู่ตรงข้ามอื่น ๆ โรคทางกายถึง 90% มีรากฐานมาจากร่างอีเธอริกและอารมณ์นี้
-
ร่างจิต (mental body) – คือส่วนของจิตที่มนุษย์สามารถใช้เพื่อสร้างความคิด เป็นกลไกลำดับที่ 4 ของดวงจิต โรคสมัยใหม่ราว 5% มีสาเหตุมาจากจิตใจนี้ ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าใจเป็นต้นเหตุของโรคทั้งหมด เพราะปัจจุบันมนุษย์ยังขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าจิต
ปัจจุบัน ปัญหาสุขภาพส่วนใหญ่เกิดจากพลังชีวิตที่ไม่สมดุล, อารมณ์ที่ถูกระงับ หรือแรงปรารถนาอันลึกที่ถูกกดทับ กลไกภายนอกที่เคยสร้างเพื่อจุดประสงค์ทางกายภาพกำลังถูกบีบบังคับให้ตอบสนองจุดมุ่งหมายภายในมากขึ้น เมื่อมนุษย์เริ่มตระหนักถึง “ร่างกายที่ละเอียดกว่า” สุขภาพและการปรับตัวของมนุษย์ก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง.
ตามธรรมชาติ คุณอาจสงสัยว่าแผนการสอนเกี่ยวกับกฎแห่งการรักษา—ซึ่งจะค่อย ๆ แทนที่วิธีการทางกายภาพในปัจจุบัน—คืออะไร และในฐานะ healer คุณต้องเรียนรู้เทคนิคใดบ้าง ทั้งเพื่อใช้กับตัวเองและผู้อื่น เริ่มจากสาเหตุของโรค เพราะผู้ศึกษาทางเร้นลับ (the occult student) ต้องเริ่มจากต้นเหตุ ไม่ใช่ผลลัพธ์ จากนั้นจะอธิบาย 7 วิธีแห่งการรักษา ซึ่งใช้โดย initiates โดยแต่ละวิธีเกี่ยวข้องกับรังสี (ray) ที่ต่างกัน ผู้เยียวยาต้องรู้ทั้งรังสีของตนเองและของผู้ป่วย จึงจะเลือกเทคนิคได้อย่างถูกต้อง สุดท้าย จะเน้นการรักษาทางจิตวิทยา เพราะกฎพื้นฐานของ occult healing คือการเปลี่ยนแปลงจากภายใน
กฎ 3 ประการของสุขภาพ
-
กฎที่ควบคุมเจตจำนงที่จะมีชีวิต
เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะแรกแห่งเจตจำนงและพลัง [the First Aspect of Will and Power (Father, Shiva, Life, Spirit)] กฎนี้ควบคุมระบบทางเดินหายใจ
-
กฎที่ควบคุมคุณภาพของจังหวะ
เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะที่ 2 แห่งความรักและปัญญา [the Second Aspect of Love and Wisdom (Son, Vishnu, Quality, Consciousness)] กฎนี้ควบคุมระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงระบบประสาท
3. กฎที่ควบคุมการตกผลึก (crystallisation)
เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะที่ 3 แห่งปัญญาเชิงกิจกรรม [the Third Aspect of Active Intelligence (Holy Spirit, Brahma, Matter, Appearance)] กฎนี้ควบคุมระบบเมตาบอลิซึม (อวัยวะที่ทำหน้าที่ดูดซึมและขับถ่าย)
โรคทั้งหมดเกิดจาก “การไหลของชีวิตแห่งดวงจิตที่ถูกยับยั้ง (inhibited soul life)” ซึ่งเป็นจริงในทุกอาณาจักรของชีวิต
ศิลปะของผู้เยียวยาคือการช่วยปลดปล่อยดวงจิต เพื่อให้พลังชีวิตสามารถไหลผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นรูปแบบทางกายภาพได้
โรค เป็นผลมาจาก “การไหลที่ถูกยับยั้งของพลังงานแห่งดวงจิต (Soul energy)” สู่ร่างกาย มันเป็นกระบวนการปลดปล่อย เพราะเมื่อบุคคลเผชิญกับโรค เขาจะเปิดรับสู่การตระหนักรู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าแห่งดวงจิต (Soul awareness) — ซึ่งเป็นแง่มุมของ consciousness ที่ก่อนหน้านั้นยังไม่ได้ถูกแสดงออก
นักวิทยาศาสตร์พยายามปลดปล่อยพลังงานจากอะตอม เช่นเดียวกับนักศึกษาทางเร้นลับ (the esotericist) ที่พยายามปลดปล่อยพลังแห่งดวงจิต — ในการปลดปล่อยนี้เอง ซ่อนศิลปะการรักษาที่แท้จริงอยู่
ก่อนพิจารณาร่างกายและโรคภัย เราต้องเข้าใจระบบพลังงานที่อยู่ล้อมรอบร่างกายก่อน เพื่อจะได้ทำงานจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง
ต้นเหตุของโรคเกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ:
-
พลัง, ความรู้สึก, ความปรารถนา และกระบวนการคิดในร่างกายละเอียดทั้ง 3 ที่กำหนดสภาพของร่างกายกายภาพ
-
อิทธิพลจากสภาพรวมของมนุษยชาติ ซึ่งมนุษย์เป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบใหญ่ — ความเจ็บป่วยจำนวนมากเป็นผลสะท้อนจากเงื่อนไขที่เกิดในอาณาจักรมนุษย์โดยรวม
-
พลังจากชีวิตดาวเคราะห์ (the planetary life) ซึ่งเป็นการแสดงออกของ Logos แห่งดาวเคราะห์ — แม้จะเกินความเข้าใจ แต่ผลกระทบสามารถรับรู้ได้
การสร้างกลุ่มการเยียวยา (healing group) ต้องใช้ความอดทน เนื่องจากต้องใช้เวลาให้พลังงานและออร่าของสมาชิกกลุ่มรวมตัวกลมกลืนกัน ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจ, ความไม่ยึดติด (impersonality) และมีสมาธิในจุดเดียว (one-pointedness) เพื่อให้เกิดจังหวะกลุ่มที่สอดคล้องภายใน
ผู้แสวงหาและนักศึกษาจะต้องฝึกคิดในฐานะกลุ่ม และมอบสิ่งที่ดีที่สุดของตนเองแก่กลุ่มอย่างไม่กักขัง
คำสอนที่ให้จะกระชับที่สุด เพื่อให้แต่ละประโยคมีเนื้อหาแท้จริง และช่วยให้กลุ่มเผชิญปัญหาอย่างมีปัญญา
หัวข้อแบ่งออกเป็น 2 ส่วน:
-
งานโดยรวมเกี่ยวกับกฎ, เทคนิค และการสอนเรื่องการรักษา
-
วิธีที่ผู้เยียวยาสามารถฝึกตนให้เชี่ยวชาญในศิลปะแห่งการรักษา
คุณสมบัติสำคัญของผู้เยียวยาที่แท้จริงคือ ความสัมพันธ์ที่เห็นอกเห็นใจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจภายใน และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ป่วย
2 คำหลักที่ครอบคลุมคุณสมบัติของผู้เยียวยาคือ: Magnetism (พลังดึงดูด) และ Radiation (การแผ่พลัง)
ผู้เยียวยาต้อง:
a) ดึงพลังจากดวงจิตของตนผ่านสมาธิ
b) ดึงดูดผู้ที่สามารถช่วยได้ด้วยทัศนคติที่ไร้อัตตา
c) ดึงพลังงานที่จำเป็นเพื่อกระตุ้นผู้ป่วย ผ่านความรู้เร้นลับ (occult knowledge) และจิตใจที่ได้รับการฝึกฝน
ผู้เยียวยาจำเป็นต้องเข้าใจการ แผ่พลัง (radiate) เพราะการแผ่พลังจากดวงจิตจะกระตุ้นดวงจิตของผู้ป่วยให้เคลื่อนไหว และเริ่มต้นกระบวนการรักษา
การแผ่พลังจากจิตใจ จะส่องสว่างและกระตุ้นเจตจำนงของผู้ป่วย
การแผ่พลังจากร่างอารมณ์ (astral body) ที่ควบคุมได้และเสียสละ จะสร้างจังหวะให้กับอารมณ์ของผู้ป่วย
การแผ่พลังจากร่างพลังชีวิต (vital body) ผ่านศูนย์ม้าม จะจัดระเบียบพลังงานของผู้ป่วย และส่งเสริมการเยียวยา
หน้าที่ของผู้เยียวยาคือ “เป็นตัวกลางที่มีประสิทธิภาพ” เพราะผลที่เกิดกับผู้ป่วยจะสอดคล้องกับภาวะภายในของผู้เยียวยาเอง
เมื่อผู้เยียวยาทำงานด้วย พลังแม่เหล็กและการแผ่พลังแห่งดวงจิต ผู้ป่วยจะเข้าถึงผลลัพธ์ที่เหมาะสม: หายป่วย, สงบอยู่กับอาการของตน, หรือปลดปล่อยสู่ความตายอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
พลังชีวิตในร่างกาย (Vital Force in the Body)
เมื่อเข้าสู่ยุคเรย์ที่ 7 (Seventh Ray – Aquarian Age) เราสามารถเยียวยาผ่านทั้งร่างกายพลังงานอีเธอริก (etheric body) ได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับส่วนประกอบทางกายภาพโดยตรง เพราะร่างกายอีเธอริกคือต้นแบบ (template) ของร่างกายกายภาพหนาแน่น เรย์ที่ 7 กำลังมีอิทธิพลและพลังมากขึ้น ด้วยความเข้าใจนี้เอง เราจึงเริ่มต้นศึกษาและฝึกฝน esoteric healing ดังนั้น การทำความรู้จักกับร่างกายอีเธอริกให้ลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งพื้นฐาน
ร่างกายอีเธอริก คือโครงข่ายพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่สานตัวผ่านและรอบ ๆ ร่างกายกายภาพ มันคือพลังชีวิตที่คงไว้ซึ่งกิจกรรมของทุกหน้าที่ในร่างกาย เป็นทั้งสาเหตุและกระบวนการของการเคลื่อนไหวเชิงปฏิสัมพันธ์ของเซลล์ภายในร่างกาย หากพลังชีวิตนี้ถูกดึงออกไป จะทำให้เกิดการฝ่อ (atrophy) และความหย่อนยาน (flaccidity) ในทางตรงกันข้าม หากมีพลังงานไหลเข้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมากเกินไป เช่น แขนหรือขา ก็จะเกิดภาวะตึงเกร็งหรือกระตุก (tetany/tension)
เป้าหมายของการเยียวยาคือการสร้างการไหลเวียนของพลังที่สมดุลและเป็นจังหวะ ทั้งภายในและรอบร่างกาย อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายนี้อาจต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อน, ละเอียด และประณีตมาก แต่จุดมุ่งหมายก็ยังคงเหมือนเดิม คือสร้างภาวะสมดุล (homeostasis) ให้กับเนื้อเยื่อของร่างกาย ด้วยวิธีนี้ ร่างกายอีเธอริกจึงสามารถส่งพลังชีวิตไปเลี้ยงร่างกายกายภาพได้ ร่างกายอีเธอริกคือภาพสะท้อนของดวงจิต (Soul) ซึ่งก่อตัวขึ้นจากดวงจิตของแต่ละเซลล์ในร่างกายที่รวมเป็นหนึ่งเดียว สนามพลังงานนี้เองคือพื้นที่ที่เราทำงาน และเป็นแหล่งที่เราสามารถรับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับผู้ป่วยในหลายระดับของการมีอยู่ของเขา
Part One – สาเหตุพื้นฐานของโรค
สาเหตุของโรคเป็นปัญหาที่ทุกศาสตร์การแพทย์ต้องเผชิญเสมอมา ในยุคปัจจุบันที่เน้นกลไกและวัตถุ เราได้หลงทางจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าในอดีต ซึ่งเคยเชื่อมโยงโรคกับ “อารมณ์ร้าย” ที่แฝงอยู่ในจิตภายในของผู้ป่วย ปัจจุบันเราอยู่เพียงบนผิวของความรู้ และรอเวลาที่วิทยาศาสตร์จะกลับเข้าสู่โลกภายใน และเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นปัญญา
ขณะนี้ นักคิดชั้นนำในวงการแพทย์เริ่มตระหนักว่า ต้นตอของโรคอยู่ในทัศนคติภายในจิตใจ, อารมณ์ และพฤติกรรมทางเพศที่มากหรือน้อยเกินไป ไม่ใช่แค่ในร่างกาย
สาเหตุเหล่านี้ย้อนกลับไปถึงอดีตกาลของโลก และเกี่ยวพันกับสิ่งที่เรียกว่า “ความชั่วระดับจักรวาล” (cosmic evil) ซึ่งเกิดจากจิตสำนึกที่ยังไม่สมบูรณ์ของ “เทพเจ้า”
ถ้าแม้แต่เทพเจ้ากำลังพัฒนาสู่ความสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับเราทุกคน ก็สามารถอนุมานได้ว่าความไม่สมบูรณ์ของพวกเขาอาจส่งผลผ่านร่างแห่งการแสดงออก ได้แก่ ดาวเคราะห์ทั้งหลาย และระบบสุริยะ ซึ่งเป็นร่างกายของชีวิตอันยิ่งใหญ่
ในฐานะมนุษย์ เราคือส่วนหนึ่งของร่างกายแห่งพระเจ้า (God) ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “เรามีชีวิต เคลื่อนไหว และดำรงอยู่ในพระองค์”
ดังนั้น ความไม่สมบูรณ์ระดับจักรวาลเหล่านี้ ย่อมสะท้อนอยู่ในตัวเราทุกคนในฐานะส่วนหนึ่งของอาณาจักรธรรมชาติขั้นที่ 4.
มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจสาเหตุลึกซึ้งของโรคหรือวิวัฒนาการของชีวิตได้อย่างแท้จริง เพราะปัญญาโดยเฉลี่ยของผู้แสวงหายังไม่เพียงพอ คำศัพท์ทางลึกลับ เช่น “ความชั่วระดับจักรวาล” หรือ “จิตบริสุทธิ์” มักถูกใช้โดยไม่มีความเข้าใจจริง หลายแนวคิดทางการรักษากล่าวถึงความสมบูรณ์แบบหรือเสรีภาพจากความทุกข์ แต่กลับเป็นเพียงอุดมคติที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากส่วนตน เราควรยอมรับข้อจำกัดของมนุษย์ และเข้าใจว่าความจริงบางอย่างอาจถูกมองได้ชัดกว่าโดยจิตที่สูงกว่าเรา เช่นเดียวกับที่มนุษย์เข้าใจจิตของพระเจ้าได้มากกว่าสัตว์ มีกลุ่มจิตที่เหนือกว่า ซึ่งอาจมองชีวิตได้แจ่มชัดกว่ามนุษย์ในตอนนี้.
วัตถุประสงค์ของวิวัฒนาการอาจเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ ความดีและความชั่วในระดับจักรวาลอาจไร้ความหมายแท้จริงเมื่อมองผ่านม่านมายาแห่งจิตมนุษย์ แม้แต่นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนี้ก็เพิ่งเริ่มมองเห็นแสงแห่งความจริงว่า สิ่งที่เคยเชื่ออาจเป็นเพียงภาพลวงตา ข้อเท็จจริงที่ลึกซึ้งคือ แม้แต่เทพเจ้าก็อยู่ระหว่างเส้นทางแห่งการพัฒนา และสาเหตุขั้นสุดท้ายของโรคนั้นอยู่เหนือการหยั่งรู้ของมนุษย์ จนกว่าอาณาจักรแห่งพระเจ้าจะเผยแผ่บนโลก.
โรคทั้งหมดเกิดจาก “การขาดความกลมกลืน” ระหว่างชีวิต (life) กับรูปธรรม (form) ซึ่งเป็นผลของการไม่สอดประสานกันระหว่างดวงจิต, รูปกาย และการแสดงออกของชีวิตภายในกับภายนอก
ดวงจิต (soul) คือแก่นกลางที่รวมชีวิตกับรูปไว้ด้วยกัน แต่เมื่อไม่มีการปรับตัวอย่างกลมกลืน จะก่อให้เกิดโรค
กฎนี้ใช้ได้กับทุกระดับ ตั้งแต่มนุษย์จนถึงอาณาจักรธรรมชาติอื่น ๆ
อาการเจ็บปวด, ความติดขัด, การเน่าเสีย และความตาย ล้วนเป็นผลของความไม่กลมกลืนนี้
คำสำคัญที่อธิบายสถานะทั่วไปของชีวิตในจักรวาลและในตัวมนุษย์คือ: ความไม่กลมกลืน, โรค, เจ็บปวด, ติดขัด, เน่าเสีย, ตาย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็น “สาเหตุ” ของโรค แต่เป็น “ผลสะท้อน” ของการที่พลังชีวิตภายในไม่สามารถไหลเวียนอย่างเสรี
ทั้งหมดนี้คือการอธิบาย “กฎแห่งการเยียวยา” ข้อแรก ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจระดับลึกเกี่ยวกับธรรมชาติของการรักษา
-
ความเจ็บป่วยสามารถมองว่าเป็นกระบวนการชำระล้าง ซึ่งช่วยปรับทัศนคติของมนุษย์ให้เข้าใจโรคภัยอย่างลึกซึ้ง
-
ผู้เยียวยาที่ยึดติดแนวคิดสุดโต่ง มักมองข้ามบทเรียนที่แท้จริงจากความเจ็บปวด
-
วิธีการรักษาเกิดจากพลังสร้างสรรค์และความก้าวหน้าทางจิตของมนุษย์
-
มนุษย์มีศักยภาพในการมองเห็นเป้าหมายแห่งเสรีภาพและการหลุดพ้น
-
ความผิดพลาดหลักคือไม่เข้าใจคุณค่าของความเจ็บปวดและกฎแห่งการไม่ต่อต้าน
-
มนุษย์มักยึดติดกับรูปธรรมและมองความตายว่าเป็นหายนะ แทนที่จะมองว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติ