คับบาลาห์ : ศาสตร์เร้นลับว่าด้วยแสงนิรันดร์
“ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์”
แม้โลกจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เรียกว่า “การค้นพบใหม่” แต่ความจริงแล้ว ความรู้หลายอย่างเคยถูกค้นพบ แสดงให้เห็น สอน เรียนรู้ และถูกลืมไปหลายครั้งในประวัติศาสตร์
วิทยาการที่คิดว่าใหม่ มักเป็นการรื้อฟื้นสิ่งเก่าที่เคยมีอยู่แล้ว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองหรือเรียกชื่อใหม่
เช่นเดียวกับความรู้ทางดาราศาสตร์ที่เซอร์ไอแซก นิวตันทำให้เป็นระบบ จนโลกประหลาดใจและยอมรับ
แต่ความจริงแล้ว แนวคิดเหล่านี้เคยปรากฏตั้งแต่สมัยโบราณ—ตั้งแต่อนักซิแมนเดอร์ (Anaximander) พิทาโกรัส (Pythagoras) ไปจนถึงโคเปอร์นิคัสและกาลิเลโอ
คนเหล่านี้ต่างรู้เรื่องศูนย์กลางจักรวาล การเคลื่อนที่ของดวงดาว แรงดึงดูด-แรงผลัก และแนวคิดเรื่องดวงอาทิตย์ที่เป็นเพียงหนึ่งในดาวฤกษ์นับไม่ถ้วน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่การสร้างสิ่งใหม่ทั้งหมด แต่คือการ “ขุดเหมืองเก่าของความรู้” ขึ้นมาเปิดเผยอีกครั้งให้โลกจดจำ
คับบาลาห์ (Kabbala) เป็นระบบสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง ครอบคลุมทั้งปรัชญาธรรมชาติและเทววิทยา อธิบายความจริงของธรรมชาติ, วิทยาศาสตร์ และศาสนาอย่างกระจ่าง หากมองพระคัมภีร์ผ่านแสงสว่างของคับบาลาห์ จะเห็นความสอดคล้องระหว่าง “หนังสือแห่งธรรมชาติ” และ “พระคัมภีร์” ว่ามีที่มาเดียวกัน และพระคัมภีร์มิใช่ปริศนาลึกลับ แต่เป็นการเปิดเผยน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า
คับบาลาห์จึงเป็นเสมือนคำอธิบายที่ทำให้ความจริงเข้าใจง่ายขึ้น ช่วยหยุดความไม่ศรัทธาในพระเจ้า โดยผู้ที่ฝึกพัฒนาคุณสมบัติภายใน เช่น ความตระหนักรู้, มโนธรรม, ปรีชาญาณ, จินตนาการ และญาณทิพย์ ย่อมเข้าถึง “ความสว่างภายใน” และเป็นบุตรแห่งแสงได้
แสงสีน้ำเงินและสีแดง
แนวคิดโบราณเกี่ยวกับแสงและความร้อน ความรู้เรื่องแสงปรากฏในคัมภีร์และคับบาลามาก่อนอียิปต์และระบบศาสนาหรือปรัชญาอื่น ๆ ทั้งหมด คับบาลามีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อศาสนาและปรัชญาทุกยุคสมัย แม้ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่ตระหนักถึงหนี้ทางความคิดที่โลกมีต่อระบบนี้
คับบาลามองว่าความรู้แท้จริงมาจาก การเปิดเผยของพระเจ้าแก่ผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ และใช้สัญลักษณ์เป็นภาษาสื่อความหมาย ความหมายเชิงเร้นลับเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเมสันและภราดรภาพลับหลายแห่ง แม้ปัจจุบันจะถูกตีความผิดไปมาก
สัญลักษณ์เมสันและงานวิหารโซโลมอนล้วนมีรากฐานมาจากคับบาลา วิหารนี้ถูกมองว่าเป็นภาพสัญลักษณ์ของจักรวาล และไฮรัม ผู้สร้างวิหาร ถูกยกย่องว่าเป็นคับบาลิสต์และเมสันแท้ ผู้บรรลุขั้นสูงสุดของการรู้แจ้ง
มี “กุญแจแห่งสัญลักษณ์คับบาลิสติก” ที่สามารถไขความลับของคับบาลาห์ เปิดประตูสู่ศาลาศักดิ์สิทธิ์แห่งตะวันออก และเผยให้เห็นปรัชญาเร้นลับแก่ผู้มีดวงตาแห่งความเข้าใจ คับบาลาแบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ ศาสนา และ ปรัชญา ซึ่งแม้จะแตกต่าง แต่กลับสอดคล้องกันอย่างลึกซึ้ง แสดงถึงความกลมกลืนอันประเสริฐระหว่าง “ศาสนาที่แท้จริง” กับ “วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง” ซึ่งทั้ง 2 มีแหล่งกำเนิดเดียวกันคือ พระเจ้า
“แสง” คือศูนย์กลางของเทวปรัชญาคับบาลิสติก เป็นบุตรหัวปีของพระเจ้า และเป็นการสำแดงครั้งแรกของพระองค์ในจักรวาล มนุษย์ไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้ เว้นแต่จะสัมผัสผ่าน แสงแห่งจิตวิญญาณและปัญญา ซึ่งปรากฏในนิมิตของผู้ที่ได้รับการรู้แจ้ง
พระคัมภีร์ไบเบิลทั้งของยิวและคริสเตียนมีการแบ่งแยกอย่างคับบาลิสติกระหว่างแสงภายนอก (objective light) และ แสงภายใน (subjective light) แสงภายนอกแม้จะงดงาม แต่ก็ด้อยกว่าแสงภายใน ซึ่งคือ “แสงแห่งชีวิต” (the Light of Life) — แสงที่พระคริสต์ตรัสถึงว่า “ผู้ที่มีแสงนี้จะไม่เดินในความมืด” และเป็นแสงเดียวกับที่ “ความมืดไม่อาจเข้าใจได้.”
ใน Sohar (หนังสือแห่งแสง) อธิบาย เซฟีโรท (Sephiroth) อย่างละเอียด และเน้นคำสอนคับบาลิสติกเกี่ยวกับ แสง (Light) ว่าแสงคือ สารดั้งเดิมของจักรวาล ชีวิตและการเคลื่อนไหวทั้งปวงเกิดจากแสง ซึ่งเป็นพลังชีวิตและพลังของธรรมชาติ
คับบาลามองว่าการศึกษาแสงทำให้เข้าถึงความรู้ของโลกเหตุและโลกต้นกำเนิดได้ แสงเปรียบเหมือน บันไดของยาโคบ (Jacob’s Ladder) สู่ความรู้สวรรค์ โดยขั้นสูงสุดอยู่ที่ เซฟีโรทลำดับที่ 4 ซึ่งแทนด้วย เพนทาแกรม คับบาลาเชื่อมโยงลึกซึ้งกับพระคัมภีร์ ทำหน้าที่ เปิดเผยความหมายชั้นในของพระคัมภีร์ ซึ่งซ่อนอยู่คู่กับความหมายชั้นนอกที่ผู้อ่านทั่วไปมองเห็น
นักปรัชญา โซโลมอน อิบน์ กาบิรอล (Avicebron) ได้เขียนงานสำคัญสองเล่ม
-
Liber de Causis (หนังสือแห่งเหตุ)
-
Fons Vitae (แหล่งกำเนิดแห่งชีวิต)
เขากล่าวว่า แสงคือเอกภาพที่เปล่งจากบัลลังก์พระเจ้า แบ่งออกเป็น 9 ระดับภายใน เป็น “สารแห่งสติปัญญา” อันเป็นภาชนะรับพระประสงค์เมื่อพระองค์ตรัส “จงมีแสงสว่าง” และสิ่งมีอยู่ทั้งปวงถูกสร้างและดำรงอยู่โดยพระเจ้าผ่านทางแสง พระเจ้าและพระประสงค์เป็นความลึกลับที่มนุษย์จะรู้จักได้ก็โดย การสำแดงในรูปแสงเท่านั้น และกาบิรอลชี้ว่า การพยายามนิยามพระเจ้าด้วยจิตที่จำกัดจะทำให้พระองค์ถูกลดให้มีขอบเขตจำกัด